การใช้ภาพพจน์ในมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี
ภาพพจน์ หรือ Figure of Speech คือกลวิธีอันเป็นศิลปะของการใช้ภาษา สำนวน
ในการประพันธ์งานเขียนทั้งประเภทร้อยกรองและร้อยแก้ว
โดยกล่าวถึงสิ่งหนึ่งแต่ให้มีความหมายถึงอีกสิ่งหนึ่ง
เพื่อเพิ่มความเข้มข้นทางอารมณ์ ให้ซาบซึ้งกับเนื้อเรื่องได้มากขึ้น การเขียนภาพพจน์ส่วนใหญ่จะใช้คำน้อย
แต่ได้ความมาก ทำให้ผู้อ่านเข้าใจสิ่งที่กวีต้องการจะสื่อได้ง่ายขึ้น
ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกเป็นการประพันธ์ของเข้าพระยาพระคลัง
(หน) แสดงให้เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่ที่มีต่อลูกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ดั่งความรักของพระนางมัทรีที่มีต่อพระโอรสพระธิดา คือพระชาลีและพระกัณหา
แต่เมื่อทราบความจริงว่าพระเวสสันดรผู้เป็นพระสวามีได้ยกลูกของตนให้กับชูชกเพื่อบำเพ็ญทานบารมีแล้ว
พระนางจึงหักห้ามใจและร่วมอนุโมทนาบุญในครั้งนี้ด้วย
ภาพพจน์ที่มีปรากฏอยู่ในพระเวสสันดรชาดก
กัณฑ์มัทรี เป็นการใช้ภาพพจน์แบบอุปมา(เปรียบเหมือน) อุปลักษณ์(เปรียบเป็น)
บุคคลวัต การสมมุติสิ่งที่ไม่มีชีวิตให้มีชีวิต(แสดงกริยา อาการแบบมนุษย์ได้)
และสุดท้าย สัทพจน์(การเลียนเสียงธรรมชาติ)
ตัวอย่างการใช้อุปมา มีคำเชื่อมคือ ดั่ง,ดุจ,เปรียบ,ปูน,ราว,กล และ
เพี้ยง
ตัวอย่างของการใช้อุปมาที่ใช้คำเชื่อมคือคำว่า “ดั่ง”
v พระทรวงนางสั่นระรัวริกดั่งตีปลา
v โหยสำเนียงดั่งเสียงสังคีตขับประโคมไพร
v มัทรีนี้เป็นข้าเก่าแต่ก่อนมาดั่งเงาตามพระบาทก็เหมือนกัน
v ต้องกับแสงกับแสงกรวดทรายที่ใต้ต้นอร่ามวาบวาวดูเป็นวนวงแววดั่งบุคคลเอาแก้วมาระแนงแกล้งมาโปรยโรยรอบปริมณฑลก็เหมือนกัน
งามดั่งไม้ปาริชาตในเมืองสวรรค์มาปลูกไว้
v อุปไมยเสมือนหนึ่งลูกทรายทรามคะนองปองที่ว่าจะชมแม่เมื่อสายัณห์
v นางก็เศร้าสร้อยสลดพระทัยดั่งเอาเหล็กแดงมาแทงใจให้เจ็บจิตนี่เหลือทนอุปมาเหมือนคนไข้หนักแล้วมิหนำยังแพทย์เอายาพิษมาวางซ้ำให้เวทนาเห็นชีวานี้คงไม่รอดไปสักกี่วัน
v อนิจจาเอ่ย วาสนามัทรีไม่สมคะเนแล้ว
พระทูลกระหม่อมแก้วจึงชิงชังไม่พูดจา ทั้งลูกรักดั่งแก้วตาก็หายไป อกเอ่ยจะอยู่ไปใยให้ทนเวทนา อุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลย์ย่อมจะอาสัญเพราะลูกเป็นแท้เที่ยง
v เจ้าผู้มีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนหนึ่งเอาน้ำทองเข้ามาทาบทับประเทืองผิวราวกับว่าจะลอยลิ่วเลื่อนลงจากฟ้า
v อุปมาแม้นเหมือนสีดาอันภักดีต่อสามารามบัณฑิต ปานประหนึ่งว่าศิษย์กับอาจารย์
ตัวอย่างการใช้อุปลักษณ์ มีคำเชื่อมคือ เป็น หรือ
คือ
เมื่อพระนางมัทรีสลบลงตรงหน้าพระเวสสันดรเพราะความเหนื่อยอ่อนและความเสียใจที่ตามหาลูกทั้งสองไม่เจอพระเวสสันดรก็ทรงรีบยกพระนางขึ้นวางตักและทรงช่วยให้นางฟื้นคืนสติ
บทคร่ำครวญของพระเวสสันดรในตอนนั้นเป็นตัวอย่างของการใช้อุปลักษณ์มาเป็นบทเปรียบ
ถือได้ว่าเป็นความเปรียบที่สื่อออกมาได้ชัดเจนและคมคายมาก
v ...บุญพี่นี้น้อยแล้วนะเจ้าเพื่อนยาก เจ้ามาตายจากพี่ไปในวงวัด เจ้าจะเอาป่าชัฏนี่หรือมาเป็นป่าช้า
จะเอาบรรณศาลานี่หรือมาเป็นบริเวณพระเมรุทอง จะเอาแต่เสียงสาลิกาอันร่ำร้องนี้หรือมาเป็นกลองประโคมใน
จะเอาแต่เสียงจักจั่นและเรไรร่ำร้องนั่นหรือมาต่างแตรสังข์และพิณพาทย์ จะเอาแต่เมฆหมอกนั้นหรือมากั้นเป็นเพดาน จะเอาแต่ยูงยางในป่าหิมพานต์มาต่างฉัตรเงินและฉัตรทอง จะเอาแต่แสงพระจันทร์อันผุดผ่องมาต่างประทีปแก้วงามโอภาส...
ตัวอย่างของอุปลักษณ์ที่ไม่ได้บอกคำเชื่อม
v โอ้เจ้าดวงสุริยันจันทรของแม่เอย
o
เปรียบชาลีเป็นสุริยัน
o
เปรียบกัณหาเป็นจันทร
v หวังว่าจะเป็นเกือกทองฉลองบาทยุคลทั้งคู่แห่งพระคุณผัว
o
พระนางมัทรีเปรียบตัวเองว่าตัวเองเป็นเกือกทอง
ตัวอย่างการใช้บุคลวัต
v ทั้งอาศรมก็หมองศรีเสมือนหนึ่งว่าจะเศร้าโศก
o
อาศรมเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้น อาศรมจะเศร้าโศกไม่ได้
แต่ในที่นี้ผู้เขียนได้ใช้ภาพพจน์แบบ
บุคลวัตมาใช้
v พระกรรณเธอสังเกตว่าสองดรุณเยาวเรศเจ้าร้องขานอยู่แว่วๆ
o
ให้หูให้สังเกต แทนที่จะฟัง
ตัวอย่างการใช้สัทพจน์
การใช้ภาพพจน์แบบ สัทพจน์ (การเลียนเสียง)
ทำให้ข้อความมีชีวิตชีวามากขึ้น เช่น
v เสียงเนื้อนกนี่ร่ำร้องสำราญเรียกคู่คูขยับขัน
v ทั้งจักจั่นพรรณลองไนเรไรร้องอยู่หริ่งๆ
ระเรื่อยโรย
v ดะดุ่มเดินเมิลมุ่งละเมาะไม้มอบหมอบแต่ย่างเหยียบเกรียบกรอบก็เหลียวหลัง
v พระโสตฟังให้หวาดแว่วว่าสำเนียงเสียงพระลูกแก้ว
เจ้าบ่นอยู่งึมๆ
v สมเด็จอรไทเธอเที่ยวตะโกนอยู่กู่กู๋ก้อง
มหาเวสสันดรชาดก
กัณฑ์มัทรี เป็นวรรณคดีมีคุณค่ามากในด้านวรรณศิลป์
การประพันธ์อย่างมีศิลปะสูงแบบนี้สามารถสร้างจินตภาพที่เด่นชัดและทำให้ผู้อ่านเกิดความซาบซึ้ง
หรือเกิดอารมณ์สะเทือนใจตามตัวละครได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากจะมีคุณค่ามากทางด้านวรรณศิลป์แล้ว มหาเวสสันดรชาดกยังมีเนื้อหาที่สนุกสนานตื่นเต้น
และมีคติข้อคิดสอนคน จึงทำให้วรรณคดีเรื่องนี้เป็นที่นิยมอ่านของคนไทยกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ควรค่าแก่การศึกษาอย่างยิ่ง