หลังจากที่หายหน้าหายตากันไปนาน ก็กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ
ซึ่งการกลับมาครั้งนี้เราก็จะมาเล่าถึงประสบการณ์การเรียนรู้ที่ได้รับมาตลอดช่วงเวลา
3 เดือน ที่ห่างหายไปจากการเขียนบล็อก
ตลอดสามเดือนมานี้มีสิ่งที่เราได้เรียนรู้มากมายหลายอย่าง
ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ เช่น
เรื่องของหลักการคิด
Concept (กรอบความคิด)
การสังเกต และการตั้งคำถาม ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนควรที่จะมี
บางคนมีเยอะบางคนมีน้อย แต่จะมากหรือจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ฝึกให้ คิด
ในปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ถูกฝึกให้
“คิดเป็น” จขบ.คิดว่าตัวเองเป็น 1 ใน 10 ที่ถูกฝึกมาเพื่อให้ “คิดเป็น”
เราถูกฝึกมาให้มองเห็นในสิ่งที่ คนอื่นมองไม่เห็น (ความละเอียด)
ฝึกการคิดให้เป็นลำดับขึ้นตอน (Process) ว่าโจทย์คืออะไร เกิดอะไรขึ้น
มีปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดผลอย่างนี้ คิดโดยให้เหตุผลและข้อมูลที่เรามีเข้าช่วย
(Process)
การตั้งคำถามและการตอบคำถามเป็นสิ่งที่เราทุกคนเห็นกันจนชินตา
เลยทำให้เราไม่ได้สังเกตถึงวิธีการตั้งคำถามหรือการตอบคำถามของแต่ละคน
แต่เมื่อเราได้ลองสังเกตดู บางคนก็ตั้งคำถามได้ดี แต่บางคนก็ตั้งคำถามไม่ดี
(ถามแบบใครๆก็ถามกันได้ ถามแบบลอยๆ )
ซึ่งถ้าเราตังคำถามไม่ดีคำตอบที่เราได้อาจจะไม่ตรงตามที่เราต้องการ
ส่วนการตอบคำถามบางคนก็ตอบแบบผ่านๆไม่ใส่ใจ การตอบคำถาม
เราต้องตอบให้ตรงประเด็นและอย่างใช้คำที่กว้างมากแบบตอบยังไงก็ถูก เราต้องมีข้อมูลที่คอบสนับสนุนหรือเป็นพื้นหลังให้เราเสมอๆ
ไม่ใช่ไม่รู้ แล้วตอบไปส่งๆ
เพราะถ้าเกิดตอบออกไปแล้วเจอคำถามเด้งกลับมาอีกแล้วเราไม่มีข้อมูลรองรับเลย
เราอาจจะแย่ได้
การเชื่อมโยงและการบันทึกก็เป็นอีกอย่างที่มีความสำคัญต่อเรามากพอสมควร จขบ.คิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า Mind Map มาบ้างแล้ว(บางคนเคยทำแล้วด้วย) เคยสงสัยไหมว่า
ทำไมจะต้องมี Mind Map
Mind Map คือแผนผังความคิด
ใช้แสดงการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งระหว่างหัวข้อ ประเด็นหลัก
ประเด็นรอง และส่วนย่อยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์โดยใช้ Keyword เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเรา
การทำ
Mind map
เราทำขึ้นมาเพราะมันจะได้ช่วยเราในการนำเสนอข้อมูล จัดระบบความคิดและช่วยความจำ วิเคราะห์เนื้อหาหรืองานต่าง ๆ ให้ง่ายขึ้น
การทำ
Mind map
แทบจะไม่มีประโยชน์ ถ้าเราทำไม่เป็น
ต้องตั้งสติดีๆทั้งตอนอ่านและตอนทำ เพราะบางทีการอ่านแล้วเขียนเลย อาจจะทำให้เรางงได้เพราะหัวข้อบางหัวข้ออาจเชื่อมโยงกัน
และต้องการจะสื่อข้อมูลอย่างเดียวกัน แต่แค่เขียนในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
เรื่องรอบตัวที่ได้ความรู้เพิ่มขึ้น
(ทางด้านวิชาการ)
v คณิตศาสตร์
การจะเรียนคณิตศาสตร์ให้เข้าใจไม่ใช้เรื่องยาก
ถ้าเราเข้าใจ ระบบคิด ของมันจริงๆ เพราะวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ใช้หลักเหตุและผล
ถ้าพื้นฐานเราแน่นเวลาไปเจอโจทย์หรืออะไรที่มันยากๆแล้วต้องไปประยุกต์
เราก็สามารถเชื่อมโยงมันได้ แล้วยิ่งเราโตขึ้น เรียนยากขึ้น
พบกับโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เราก็จะไม่เข้าใจเลย
เพราะพื้นฐานของเราจริงๆ ยังแน่นไม่พอ
คณิตศาสตร์เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากแต่ในบางทีเราก็มองมันไม่เห็น ยกตัวอย่างง่ายๆเลยกับ
เรื่องของ “การเติมน้ำมันรถ ด้วยเงิน 500 บาท”
(อันนี้คุณครูให้โจทย์มา)
รถที่น้ำมันกำลังจะหมด แต่เติมเข้าไป 500 บาท จะได้น้ำมันกี่ลิตร
และวิ่งได้กี่กิโลเมตร
(แค่นี้เราก็ถือว่าเป็นการนำคณิตศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว)
เราได้ฝึกการสังเกต หาข้อมูล
(ว่าวันนี้น้ำมันลิตรละเท่าไหร่) ฝึกความละเอียด
เพราะถ้าเราไม่ละเอียด(ในเรื่องนี้)เราก็จะไม่รู้ว่า รถเราเหลือน้ำมันแค่ไหน
แล้วขับต่อได้อีกกี่กิโลเมตร น้ำมันเท่านี้ควรขับยังไง (เร็ว ช้า?)
แล้วถ้าเติมเท่านี้ ขับต่อได้อีกเท่าไหร่ ที่สำคัญเราได้เรียนรู้เรื่องของการคาดการณ์
(ประมาณค่า) เหตุการณ์ต่างๆ
เพราะเมื่อเราคาดเดาสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดได้เราอาจจะทำให้ปัญหาที่เกิดรุนแรงน้อยลง
หรือ ปลอดภัย และ ไม่สร้างความเดือดร้อนต่อตัวเราเองและผู้อื่น
v เรียนภาษาไทยกับคุณครู
ภาษาไทยเป็นภาษาที่ยากและมีความซับซ้อนมาก แต่ก็เป็นภาษาที่มีความงดงามมากเช่นกัน
การจะแต่งอะไรออกมาสักอย่างถ้าเรารู้ประวัติของผู้แต่ง รู้จุดประสงค์ของผู้แต่งว่าแต่งมาเพื่ออะไร
และรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แต่ง
ก็สามารถทำให้เราเข้าใจเรื่องที่อ่านและซึมซับมันได้มากขึ้น ตอนนี้ภาษาไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมามาก
คำเดิมๆบางคำอาจสูญหายไปแล้วในสมัยนี้ หรือ ถูกใช้น้อยลง
มีคำที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่มากมาย เอกลักษณ์ของความเป็นไทยอาจสูญหายไปตามเวลา
และมันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องอนุรักษ์มันไว้
ภาษาไทยจะฝึกเราในเรื่อของการฟัง การพูด
การอ่าน และการเขียน
o
การฟัง
เด็กไทยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยฟังเลยทำให้บางครั้ง
สะกดคำไม่ค่อยจะถูก
แต่บ่างครั้งการฟังอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ช่วย
เพราะการสะกดต้องอาศัย
พื้นความรู้และประสบการณ์จากการอ่านงานเขียนที่มีคุณภาพในหลายๆ
แต่การฟังก็ถือว่าช่วยได้ระดับหนึ่ง
ดีกว่าไม่ฟัง
o
การพูด
คนที่พูดได้ดี ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดมาก
เพราะบางทีคนที่พูดมากก็จะแถ
ไถไปเรื่อยๆไม่มีประเด็นเลย แต่คนที่พูดดีคือ พูดแล้วมีประเด็น
สื่อให้
คนฟังเข้าใจ และสนใจในตัวผู้พูด แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องจับอารมณ์คนฟัง
ให้ได้ว่า
คนฟังพร้อมที่จะรับเนื้อขนาดไหน เพราะถ้าใส่แต่เนื้ออย่าง
เดียวบาทีก็จะทำให้เบื่อ
ซึ่งทำให้บางครั้งเราก็ต้องแทรกอะไรเข้าไปบ้าง
เพื่อให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ
o
การเขียน
บทความ =>
เวลาจะเขียนอะไรเราต้องมีเป้าหมายก่อน ต้องรู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไร
รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร และมีประเด็นที่จะเขียน และเมื่อมีเป้าหมายแล้วก็ต้องมาดูกันว่าสิ่งที่เราเขียนเราต้องการให้คนอ่านได้อะไรจากมัน
ซึ่งการรู้กลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้เราเขียนงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
o
การอ่าน
ตั้งคำถามก่อนอ่าน (ต้องรู้ว่าบทนี้เขาต้องการจะบอกอะไรเรา)
หา key word ให้เจอ
อ่านแล้วจะต้องคิดตาม ตั้งคำถามตาม ไม่ใช่อ่านไปเรื่อยๆแล้วก็จำ เวลาผ่านไปก็ลืม
(ไม่มีใครจำสิ่งที่ตัวเองอ่านได้หมดหรอก)
แต่ถ้าเราจับประเด็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้ หรือบทความนี้ต้องการจะบอกอะไรกับเรา
ก็จะช่วยให้เราอ่านหนังสือได้ง่ายยิ่งขึ้น
ซึ่งวิธีการนี้เรายังสามารถนำไปใช้ได้กับการอ่านหนังสือสอบได้อีกด้วย
(ที่จริงใช้ได้กับการอ่านทุกประเภทตั้งแต่หนังสืออ่านเล่น
ไปจนถึงหนังสือพิมพ์)
เราจะเห็นได้ว่า การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน
ทุก
อย่างมันสอดคล้องกันหมด เช่น
อย่างมันสอดคล้องกันหมด เช่น
ถ้าเรามีทักษะการอ่านที่ดี
ทักษะการเขียนของเราก็จะดีขึ้นตามไปเพราะ
เราได้อ่านงานหลายๆรูปแบบ
เราได้อ่านงานหลายๆรูปแบบ
ถ้าเราฟังแล้วจับใจความได้ดีก็จะส่งผลให้การพูดของเราดีด้วย
เพราะพูด
แล้วมีประเด็นผู้ฟังๆแล้วเข้าใจ
แล้วมีประเด็นผู้ฟังๆแล้วเข้าใจ
v เรียนศิลปะกับคุณครู
ความพยายามเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานศิลปะ
เพราะกว่าจะได้งานออกมาหนึ่งชิ้นนี่เหนื่อยมากพอสมควร
กว่าจะเก่งได้ต้องเริ่มจากของง่ายๆ ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด
แต่ต้องอาศัยการฝึกฝน และใจรักในการทำจริงๆถึงจะประสบความสำเร็จได้
v สังคม (อาเซียน)
รู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยหลังจากที่ไทยเข้า
อาเซียน แล้ว
ข้อดี
-
เศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้น
-
ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
-
มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่หลากหลาย
-
มีกฎระเบียบที่เป็นสากลมากขึ้น
ข้อเสีย
-
เศรษฐกิจเติมโตดีแต่ไม่มีคุณภาพ
-
ประเทศอื่นอาจพัฒนาได้มากกว่าประเทศไทย
-
ประเทศเป็นหนี้
-
ระบบการศึกษาคุณภาพต่ำ
-
เป็นแค่ผู้บริโภค ไม่ใช่ผู้ผลิต
-
วัฒนธรรมเดิมอาจถูกแทนที่ด้วยวัฒนธรรมจากประเทศอื่นๆ
ที่สำคัญของสังคมคือ
เราเชื่อมโยงได้ว่าปัจจัยอะไรเกี่ยวพันกับอะไร แล้วจะช่วยให้เราคาดการณ์ได้
เราเรียนเรื่องนี้เพื่อฝึกการคาดการณ์และการเชื่อมโยง
เพราะสังคมเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเรา
การได้ออกไปเจอโลกข้างนอก
หาประสบการณ์ และแรงบันดาลใจ (ท่องเที่ยว~~)
v เราได้ออกไปพบผู้คน เจออะไรใหม่ๆ
(ผู้คนมีหลายหลายประเภท นิสัยต่างกัน แล้วจะรับมือและปฎิบัติกับเขาอย่างไร)
=ที่โรงเรียนใหม่ =
ได้เห็นครูที่เป็นครูจริงๆ ได้เห็นเพื่อนๆพี่ๆน้องๆในลักษณะนิสัยที่ต่างออกไป
ทุกคนล้วนมีความแตกต่างแต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้
= เกาะยาว =
บางทีเราอาจจะคิดตัดสินอะไรไปเองเลยทำให้เรากลัว
และพลาดโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น ผู้คน ธรรมชาติ วิถีชีวิต
อาหาร(?) อาชีพ ซึ่งแตกต่างออกไปจากคนกรุงเทพ บางอย่างก็เป็นสิ่งที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยพบ
การไปครั้งนี้สอนให้รู้ว่า อย่าตัดสินอะไรไปเอง ทั้งๆที่ยังไม่เคยลอง
บางทีมันอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้
= ระยอง =
ไปทริปคราวนี้ได้รับโจทย์มาจากครูว่าให้จัดทัวร์ขึ้นมาคนละหนึ่งทัวร์
(สมมุติตัวเองว่าเป็นหัวหน้าทัวร์ )
การจัดทัวร์ไม่ใช่เรื่องง่าย จะจัดทัวร์ได้ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน
(ยิ่งเป้าหมายชัดยิ่งจัดทัวร์ได้ง่าย) ต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนไป
ต้องไตร่ตรองให้ดี
เช่น
สถานที่ เวลา กิจกรรม อาหารการกิน เส้นทาง ค่าใช้จ่าย และสุดท้ายครูก็ให้นำของทุกคนมารวมกัน
โดยนำจุดเด่นของแต่ละทัวร์มารวมกัน โดยที่อย่าลืมเป้าหมาย
ซึ่งนี่ก็ทำให้เห็นว่าบางทีการทำงานด้วยกันมันทำให้เรามีความรอบคอบมากขึ้น
เพราะมีคนช่วยคิดหลายคน และต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
และเมื่อถึงวันที่ไปเที่ยวกันจริงๆ ก็รู้ว่า ข้อมูลเป็นสิ่งที่ไกด์ทกคนต้องมี
เพราะถ้าข้อมูลไม่แน่น เราก็จะบอกกับลูกทัวร์ไม่ได้ว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วมาทำไม
อะไรเป็นจุดเด่น ที่สำคัญคือเราไม่รู้ว่าร่างกายใครจะไม่ไหวก่อนเพราะฉะนั้นไกด์ควรมีข้อมูลทุกคน
การตัดสินใจที่จะทำอะไร
หรือจะไปไหนถือว่ามีความสำคัญมากเพราะการตัดสินใจของเราคือความเป็นความตายของลูกทัวร์
(ฮา)
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นสิ่งที่ฝึกได้เยอะเลยทีเดียวในทริปนี้ ได้ประสบการณ์ใหม่
(รู้ถึงอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นได้ อย่าเชื่อคนง่าย ปฏิเสธคนให้เป็น)
ความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
สิ่งที่ค้นพบ
-
ตัวเองคิดเป็นมากขึ้น เริ่มรู้จักการตั้งคำถาม การสังเกต
-
มีความรับผิดชอบมากขึ้น
-
ไม่เบี่ยงประเด็น(เปลี่ยนเรื่อง)ถ้าตอบไม่ได้
v ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ
เราต้องมีความมั่นใจในตัวเองให้มากขึ้น
เพราะถ้าตัวเองยังไม่เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะมั่นในความเก่ง ความสามารถของเรา
ถ้าเราอยากจะให้ใครเชื่อมั่นในความสามารถของเรา เราก็ต้องมั่นใจในตัวเองก่อน
v เรียนรู้จากความบางที่สิ่งที่เราทำอาจจะไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่เราคาดหวังเอาไว้
ก็ไม่เป็นไร แต่ขอแค่ให้ทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่
เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นเราก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิด
แล้วกลับมาย้อนดูว่าสิ่งที่เราทำมีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดซึ่งเราจะได้เรียนรู้จากมันและนำกลับมาแก้ไข
และเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น