บทวิเคราะห์เรื่องนิทานซ้อนนิทาน
นิทานซ้อนนิทานเป็นลักษณะการแต่งเรื่องที่พบในนิทานเวตาล พันหนึ่งราตรี นักวิชาการบางคนให้ความเห็นว่านิทานเอเชียโบราณนี้อาจได้รับอิทธิพลจากกรีกที่ทำสงครามขยายดินแดนและทำการค้าขายกับโลกทางฝั่งตะวันออก
(เอเชีย) ลักษณะของนิทานซ้อนนิทานทั่วไปจะเป็นการแทรกนิทานเรื่องย่อยเข้าไปอยู่ในนิทานเรื่องใหญ่ แต่ไม่ได้หมายความว่านิทานที่มีเรื่องราวหลายเรื่องหลายตอนจะเป็นนิทานซ้อนนิทานเสมอไป
ต้องเป็นนิทานที่มีปริศนาปิดท้ายนิทานย่อยภายในเรื่องหรือเป็นนิทานที่มีการทิ้งตอนไว้เป็นปมให้กับเรื่องต่อไปเพื่อทำการเชื่อมโยงระหว่างเรื่อง
แบบนี้ถึงเรียกได้ว่าเป็นนิทานซ้อนนิทาน
ทำไมนิทานซ้อนนิทานถึงเป็นที่นิยมถ้ามองในมุมมองของผู้แต่ง
การแต่งนิทานแนวนี้จะเป็นเหมือนการแสดงฝีมือลีลาในการแต่ง
แสดงระดับความรู้ที่ตัวผู้แต่งมี เพราะนิทานซ้อนนิทานเป็นรูปแบบการแต่งเรื่องชั้นสูง
มีรูปแบบการแต่งที่ค่อนข้างยาก ซับซ้อนหลายชั้น
ผู้แต่งต้องมีความสามารถในการจัดลำดับเรียบเรียงเรื่อง การวางโครงเรื่อง
การวางปมของนิทานย่อยที่ต้องสอดคล้อยคล้อยตามไปตามนิทานเรื่องใหญ่ ส่วนในด้านของผู้อ่านกัน
เนื้อเรื่องที่มีความซับซ้อนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้นิทานซ้อนนิทานกลายเป็นที่นิยม ความสนุกสนานที่เกิดขึ้นจากความหลากหลายของเนื้อเรื่องส่งผลให้เรื่องไม่น่าเบื่อ
ปมปัญหาบางอย่างได้ถูกทิ้งไว้ตรงตอนจบนิทานย่อยทุกครั้ง(เพื่อเตรียมขึ้นเรื่องใหม่) ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกค้างคา(จึงอ่านต่อ) การปิดท้ายนิทานด้วยปริศนาจะส่งผล
ทำให้ผู้อ่านได้ความสนุกสนานจากการคิดตามและการพิจารณาถึงเหตุผลของคำตอบที่เกิดขึ้นว่ามันสอดคล้องกับเนื้อเรื่องอย่างไร
การเปรียบเทียบรูปแบบของนิทานซ้อนนิทานทั้งสามเรื่องที่โด่งดังไปทั่วโลก
ได้แก่ นิทานเวตาลปัญจวิงศติของอินเดียโบราณ นิทานพันหนึ่งราตรีของทางฝั่งอาหรับ
และพระสรรพสิทธิของไทย
ทั้งสามเรื่องนี้มีลักษณะเป็นการแต่งแบบนิทานซ้อนนิทานเหมือนกัน
ถ้าพูดถึงความแตกต่าง เรามาเริ่มที่นิทานเวตาลเทียบกับพันหนึ่งราตรีกันก่อน
ทั้งสองเรื่องมีรูปแบบการแต่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
นิทานเวตาลจะเป็นการซ้อนแบบใช้คำถามปริศนามาใช้ในการปิดเรื่องย่อย
ทำให้ผู้อ่านได้คิดตามหลังอ่านเรื่องย่อยที่แทรกอยู่จบ
แต่สำหรับพันหนึ่งราตรีจะมีรูปแบบการเล่าเรื่องแบบจบเป็นเรื่องๆ
ตอนท้ายของเรื่องย่อยทุกเรื่องในพันหนึ่งราตรีจะมีปมหรือตัวละครที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่เพื่อปูพื้น(เชื่อมโยง)ไปในเรื่องย่อยเรื่องต่อไป
อย่างไรก็ตามทั้งสองเรื่องนี้มีจุดที่เหมือนกันอยู่หนึ่งจุด นิทานย่อยเกือบทุกเรื่องจะสอดแทรกคำสอน
ข้อคิดต่างๆที่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
ส่วนนิทานเวตาลกับพระสรรพสิทธิสองเรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องโดยใช้ปริศนาคำทายปิดท้าย
เป็นเชิงคิดวิเคราะห์ นอกจากรูปแบบการแต่งที่เหมือนกันแล้วยังมีเรื่องของลักษณะนิสัยตัวละครที่คล้ายกันมาก
เวตาลและพระสรรพสิทธิที่เป็นคนถามปริศนามีลักษณะเป็นคน(ตัว)ฉลาด มีไหวพริบ
ทั้งคู่รู้จักเลือกใช้คำถามเพื่อใช้หลอกล่ออีกฝ่ายให้ติดกับ เวตาลถามคำถามหลอกล่อให้พระวิกรมาทิตย์พูด
ส่วนพระสรรพสิทธิก็ถามคำถามหลอกล่อให้นางสุพรรณโสภาเอ่ยปากออกความเห็นเช่นกัน
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ตัวละครทั้งสองตัวนี้หลอกล่อสำเร็จคือ การอ่านคนเป็น พระวิกรมาทิตย์และนางสุพรรณโสภาก็มีลักษณะนิสัยร่วมกันอย่างคือเป็นคนฉลาดและอดไม่ได้ที่จะแสดงออกมาว่าตัวเองฉลาด
มีความรู้ จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเวตาลและพระสรรพสิทธิเอาชนะทั้งสองคนนี้ด้วยคำถาม
เนื้อหาจากย่อหน้าข้างบนทำให้เราเดาได้ไม่ยากว่ารูปแบบการแต่งของพระสรรพสิทธิกับพันหนึ่งราตรีต้องมีความแตกต่างกันแน่นอน
(รูปแบบของพันหนึ่งราตรีจะค่อนข้างแปลกแยก)
อย่างไรก็ตามพระสรรพสิทธิกับพันหนึ่งราตรีก็ไม่ได้ต่างกันทั้งหมด
มีเรื่องของตัวเอก(พระสรรพสิทธิและนางสุนตลานาเชเฮอร์ซาเด)ที่ใช้ความฉลาดของตัวเองให้เกิดประโยชน์
เป็นจุดร่วมของสองเรื่องนี้
ในปัจจุบันได้มีหนังสือและภาพยนตร์จำนวนไม่น้อยที่นำลักษณะการเล่าเรื่องแบบนิทานซ้อนนิทานมาใช้ทางผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างงานเขียนของโทลคีน (J. R. R. Tolkien) เรื่อง เดอะ ฮอบบิท
(The Hobbit) ที่ถูกนำมาทำเป็นหนังฟอร์มยักษ์ กำกับโดย ปีเตอร์ แจ็คสัน (Peter
Jackson) ถามว่าตรงไหนหรือที่เป็นรูปแบบของนิทานซ้อนนิทานที่โทลคีนเอามาใช้
ถ้าใครเคยดู เดอะ ฮอบบิทภาคแรก จะมีฉากสำคัญฉากหนึ่งที่ นายบิลโบ แบ็กกิ้น ตกลงมาในถ้ำ
เก็บแหวนได้ และเจอกับกอลลั่ม(ที่กำลังจะจับบิลโบกินเป็นอาหาร)
บิลโบออกอุบายเล่นทายปริศนากับกอลลั่ม
โดยมีข้อตกลงว่าถ้าหากกอลลั่มชนะบิลโบก็จะยอมถูกกิน
แต่ถ้าบิลโบชนะกอลลั่มต้องปล่อยเขากลับไปหาเพื่อนๆคนแคระ
ช่วงของปริศนาที่บิลโบสลับกันถามกับกอลลั่มช่วงนี้คือช่วงที่โทลคีนยืมรูปแบบของนิทานซ้อนนิทานมาใช้
เห็นได้ว่าเป็นการซ้อนเรื่องด้วยปริศนาคำทายที่ชวนให้คิดตาม เป็นการดำเนินเรื่องด้วยคำถาม
จะขอยกตัวอย่างปริศนาที่บิลโบและกอลลั่มใช้เล่นพนันกันมาให้ดูกัน อะไรเอ่ยมีรากแต่ไม่มีใครเห็นสูงกว่าต้นไม้
สูงสูงขึ้นไปแต่ไม่เคยโต(คำตอบคือภูเขา) อะไรเอ่ยไม่มีเสียงแต่ร้องได้ ไม่มีปีกแต่บินได้
ไม่มีฟันแต่กัดได้ ไม่มีปากแต่บ่นพึมพำได้ (คำตอบคือลม) อะไรเอ่ยทุกอย่างมันกินหมดไม่ว่าจะเป็นนก
สัตว์ ต้นไม้ ดอกไม้ กินกระทั่งเหล็กแข็ง กัดกระทั่งเหล็กอ่อน หินแข็งๆ
ก็เอามาบดกิน ฆ่ากษัตริย์ ทำลายเมือง ทลายกระทั่งภูเขาสูงๆ
ให้พังลง (คำตอบคือเวลา) รู้สึกไหมว่าตรงนี้มีส่วนคล้ายกับนิทานเวตาล
ถ้าเราลองหาข้อมูลเชิงลึกอีกสักนิดเราจะพบว่าโทลคีนได้หยิมยืมลักษณะการแต่งนิทานซ้อนนิทานของเวตาลมาใช้
ซึ่งก็คือรูปแบบการแต่งโดยใช้ปริศนาคำทายมาช่วยในการดำเนินเรื่อง ลองนึกดูว่าโทลคีนต้องอ่านหนังสือกี่เล่มกว่าจะได้ฮอบบิทมาหนึ่งเรื่อง
หนังสือที่โทลคีนอ่านแน่นอนว่าจะต้องเป็นหนังสือที่มีคุณภาพ
มีไอเดียหรือรูปแบบการแต่งที่น่าสนใจ ซึ่งในจุดนี้นิทานเวตาลมีครบ โทลคีนเลือกหยิบหนังสือที่เป็นต้นแบบของนิทานซ้อนนิทานเพื่อนนำมาประยุกต์ใช้กับงานเขียนของตัวเอง
ซึ่งเขาก็ทำได้ดี
อ่านอยากครับ
ตอบลบควรเปลี่ยนพื้นหลัง
ใช้ครับ
ตอบลบ