วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

Diary ของวันที่ 15 กันยายน 2556

อาทิตย์นี้เราได้เรียนรู้อะไรบ้างนะ?
(จขบ. ย่อมาจากเจ้าของบล็อก)
1.  เวลาของเรามีเท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจัดการมันได้ดีแค่ไหน 
เช่น ขณะที่เราดูละคร ก็มีคนที่กำลังนั่งทบทวนบทเรียน

 


2.  ก่อนจะอ่านอะไรเราก็ต้องตั้งคำถามก่อน ไม่อย่างนั้นเราก็จะอ่านมันไปเรื่อยๆและจับประเด็นไม่ได้)ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร

3.  การสังเกตเป็นสิ่งสำคัญ ตัวจขบ.เองก็พยายามที่จะฝึกอยู่ (มันไม่ยากแต่มันต้องใช้เวลา อิอิ)
เมื่อไม่นานมานี้ จขบ.ก็ได้โดนคำถามทดสอบการสังเกตเหมือนกัน (เล่นเอาตัวเองตอบไม่ถูกเลย)
คำถามถามว่า” ห้องที่เราอยู่เป็นห้องที่เท่าไหร่ “
คำตอบตอนแรก จขบ.ตอบว่า ห้า
ผ่านไปสักพักตอบว่า สี่
จนสุดท้ายก็ต้องเดินออกไปดูเพราะไม่รู้ว่าสรุปมันเป็นห้องที่เท่าไหร่
ครูเลยถามอีกว่า เรามาที่นี่กันกี่ครั้งแล้ว ทำไมไม่รู้ (มามากกว่าสิบห้าครั้ง)
มันเลยทำให้จขบ.รู้สึกว่า ทักษะการสังเกตของเราตอนนี้ยังมีไม่พอ
(ลองเอาคำถามง่ายๆที่เกี่ยวกับการสังเกตถามเพื่อนๆคุณดูสิ แล้วดูว่าพวกเขาตอบได้รึเปล่า แต่ก่อนจะถามคุณก็ต้องสังเกตก่อนนะ)



4.     เท้าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะ
เป็นตัวการทำให้ปวดหลัง และอาจส่งผลกับเข่า เพราะเท้าเป็นส่วนที่รับน้ำหนักของร่างกายทั้งหมด จขบ.เป็นคนเท้าแบนและนั่นยิ่งต้องทำให้ดูแลสุขภาพเท้า(ให้ดีกว่าคนปกติ) 
ภาพบน เท้าปกติ
ภาพล่าง เท้าแบน


แน่นอนว่ารองเท้ามีผลกับเท้าโดยตรง เราจึงควรเอาใจใส่เลือกรองเท้าที่ใส่สบาย มากกว่าจะซื้อรองเท้าเพราะดีไซน์อย่างเดียว มีหลายคนที่ยอมใส่รองเท้าไม่สวยเพื่อสุขภาพเท้าที่ดีของตนเอง นอกจากนี้ ก็ควรเลือกใส่รองเท้ากีฬาสำหรับการเล่นกีฬาด้วย เพราะเวลาที่คุณวิ่งเยอะ ๆ หรือออกกำลังกาย  รองเท้าผ้าใบที่คุณซื้อมาใช้แทน ไม่สามารถใช้รองรับเท้าของคุณได้ดีเท่ารองเท้ากีฬาหรอก
เวลาออกกำลังกายควรใช้รองเท้ากีฬา สำหรับกีฬาประเภทนั้น
 แถมยังจะสึกเร็วจากความไม่ทนทานอีกด้วย ซึ่งการใส่รองเท้าที่ไม่สบาย นอกจากจะทำให้เมื่อยเท้าแล้ว ยังทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมาอีกด้วย เพราะฉะนั้นหันมาเลือกซื้อรองเท้าให้เหมาะกับการใช้งานเพื่อสุขภาพของตัวเองจะดีกว่า ในเรื่องนี้จขบ.โดนคุณครูเตือนมาหลายทีแล้ว 



5.     วิชาสังคมเป็นสิ่งสำคัญมาก
หลายคนอาจจะบอกว่าวิชาสังคมยาก น่าเบื่อ (แน่นอน จขบ.เป็นหนึ่งในนั้น)
แต่ครูสอนสังคมของจขบ.บอกว่า เราเรียนไปเพื่อที่จะเข้าใจ ศัพท์ของวิชาสังคมเพื่อที่จะเอาไปใช้ในการอ่านหนังสือพิมพ์ เช่นคำว่า อัยการ ศาลทหาร ศาลปกครอง (ถ้าเรารู้ความหมายเราก็จะเข้าใจ)
เราเรียนสังคมเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน

การเรียนนอกระบบ Home School ของฉัน

หลังจากที่หายหน้าหายตากันไปนาน  ก็กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้เราก็จะมาเล่าถึงประสบการณ์การเรียนรู้ที่ได้รับมาตลอดช่วงเวลา 3 เดือน ที่ห่างหายไปจากการเขียนบล็อก
            ตลอดสามเดือนมานี้มีสิ่งที่เราได้เรียนรู้มากมายหลายอย่าง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ เช่น
เรื่องของหลักการคิด
Concept (กรอบความคิด) การสังเกต และการตั้งคำถาม ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนควรที่จะมี บางคนมีเยอะบางคนมีน้อย แต่จะมากหรือจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ฝึกให้ คิด
ในปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ถูกฝึกให้ “คิดเป็น” จขบ.คิดว่าตัวเองเป็น 1 ใน 10 ที่ถูกฝึกมาเพื่อให้ “คิดเป็น” เราถูกฝึกมาให้มองเห็นในสิ่งที่ คนอื่นมองไม่เห็น (ความละเอียด) ฝึกการคิดให้เป็นลำดับขึ้นตอน (Process) ว่าโจทย์คืออะไร  เกิดอะไรขึ้น มีปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดผลอย่างนี้ คิดโดยให้เหตุผลและข้อมูลที่เรามีเข้าช่วย
http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQMJLV3vwkSjxuTSsiTByjVl2PFqX2R_LMO5v6AHYK2AuOdzaBn(Process)
การตั้งคำถามและการตอบคำถามเป็นสิ่งที่เราทุกคนเห็นกันจนชินตา เลยทำให้เราไม่ได้สังเกตถึงวิธีการตั้งคำถามหรือการตอบคำถามของแต่ละคน แต่เมื่อเราได้ลองสังเกตดู บางคนก็ตั้งคำถามได้ดี แต่บางคนก็ตั้งคำถามไม่ดี (ถามแบบใครๆก็ถามกันได้ ถามแบบลอยๆ )  ซึ่งถ้าเราตังคำถามไม่ดีคำตอบที่เราได้อาจจะไม่ตรงตามที่เราต้องการ ส่วนการตอบคำถามบางคนก็ตอบแบบผ่านๆไม่ใส่ใจ การตอบคำถาม เราต้องตอบให้ตรงประเด็นและอย่างใช้คำที่กว้างมากแบบตอบยังไงก็ถูก เราต้องมีข้อมูลที่คอบสนับสนุนหรือเป็นพื้นหลังให้เราเสมอๆ ไม่ใช่ไม่รู้ แล้วตอบไปส่งๆ เพราะถ้าเกิดตอบออกไปแล้วเจอคำถามเด้งกลับมาอีกแล้วเราไม่มีข้อมูลรองรับเลย เราอาจจะแย่ได้
การเชื่อมโยงและการบันทึกก็เป็นอีกอย่างที่มีความสำคัญต่อเรามากพอสมควร  จขบ.คิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า Mind Map มาบ้างแล้ว(บางคนเคยทำแล้วด้วย) เคยสงสัยไหมว่า ทำไมจะต้องมี Mind Map
Mind Map คือแผนผังความคิด ใช้แสดงการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งระหว่างหัวข้อ ประเด็นหลัก ประเด็นรอง และส่วนย่อยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์โดยใช้ Keyword เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเรา
การทำ Mind map  เราทำขึ้นมาเพราะมันจะได้ช่วยเราในการนำเสนอข้อมูล จัดระบบความคิดและช่วยความจำ วิเคราะห์เนื้อหาหรืองานต่าง ๆ ให้ง่ายขึ้น
การทำ Mind map   แทบจะไม่มีประโยชน์ ถ้าเราทำไม่เป็น ต้องตั้งสติดีๆทั้งตอนอ่านและตอนทำ เพราะบางทีการอ่านแล้วเขียนเลย อาจจะทำให้เรางงได้เพราะหัวข้อบางหัวข้ออาจเชื่อมโยงกัน และต้องการจะสื่อข้อมูลอย่างเดียวกัน แต่แค่เขียนในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
เรื่องรอบตัวที่ได้ความรู้เพิ่มขึ้น (ทางด้านวิชาการ)
v คณิตศาสตร์
การจะเรียนคณิตศาสตร์ให้เข้าใจไม่ใช้เรื่องยาก ถ้าเราเข้าใจ ระบบคิด ของมันจริงๆ เพราะวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ใช้หลักเหตุและผล ถ้าพื้นฐานเราแน่นเวลาไปเจอโจทย์หรืออะไรที่มันยากๆแล้วต้องไปประยุกต์ เราก็สามารถเชื่อมโยงมันได้ แล้วยิ่งเราโตขึ้น เรียนยากขึ้น พบกับโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เราก็จะไม่เข้าใจเลย เพราะพื้นฐานของเราจริงๆ ยังแน่นไม่พอ คณิตศาสตร์เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากแต่ในบางทีเราก็มองมันไม่เห็น ยกตัวอย่างง่ายๆเลยกับ

เรื่องของ “การเติมน้ำมันรถ ด้วยเงิน 500 บาท” (อันนี้คุณครูให้โจทย์มา)

รถที่น้ำมันกำลังจะหมด แต่เติมเข้าไป 500 บาท จะได้น้ำมันกี่ลิตร และวิ่งได้กี่กิโลเมตร (แค่นี้เราก็ถือว่าเป็นการนำคณิตศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว)
เราได้ฝึกการสังเกต หาข้อมูล (ว่าวันนี้น้ำมันลิตรละเท่าไหร่) ฝึกความละเอียด เพราะถ้าเราไม่ละเอียด(ในเรื่องนี้)เราก็จะไม่รู้ว่า รถเราเหลือน้ำมันแค่ไหน แล้วขับต่อได้อีกกี่กิโลเมตร น้ำมันเท่านี้ควรขับยังไง (เร็ว ช้า?) แล้วถ้าเติมเท่านี้ ขับต่อได้อีกเท่าไหร่ ที่สำคัญเราได้เรียนรู้เรื่องของการคาดการณ์ (ประมาณค่า) เหตุการณ์ต่างๆ เพราะเมื่อเราคาดเดาสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดได้เราอาจจะทำให้ปัญหาที่เกิดรุนแรงน้อยลง หรือ ปลอดภัย และ ไม่สร้างความเดือดร้อนต่อตัวเราเองและผู้อื่น


v เรียนภาษาไทยกับคุณครู
ภาษาไทยเป็นภาษาที่ยากและมีความซับซ้อนมาก แต่ก็เป็นภาษาที่มีความงดงามมากเช่นกัน การจะแต่งอะไรออกมาสักอย่างถ้าเรารู้ประวัติของผู้แต่ง รู้จุดประสงค์ของผู้แต่งว่าแต่งมาเพื่ออะไร และรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แต่ง ก็สามารถทำให้เราเข้าใจเรื่องที่อ่านและซึมซับมันได้มากขึ้น ตอนนี้ภาษาไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมามาก คำเดิมๆบางคำอาจสูญหายไปแล้วในสมัยนี้ หรือ ถูกใช้น้อยลง มีคำที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่มากมาย เอกลักษณ์ของความเป็นไทยอาจสูญหายไปตามเวลา และมันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องอนุรักษ์มันไว้
ภาษาไทยจะฝึกเราในเรื่อของการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน


o   การฟัง
เด็กไทยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยฟังเลยทำให้บางครั้ง สะกดคำไม่ค่อยจะถูก

 แต่บ่างครั้งการฟังอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ช่วย เพราะการสะกดต้องอาศัย

พื้นความรู้และประสบการณ์จากการอ่านงานเขียนที่มีคุณภาพในหลายๆ

 แต่การฟังก็ถือว่าช่วยได้ระดับหนึ่ง ดีกว่าไม่ฟัง
o   การพูด
คนที่พูดได้ดี ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดมาก เพราะบางทีคนที่พูดมากก็จะแถ

ไถไปเรื่อยๆไม่มีประเด็นเลย แต่คนที่พูดดีคือ พูดแล้วมีประเด็น สื่อให้

คนฟังเข้าใจ และสนใจในตัวผู้พูด แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องจับอารมณ์คนฟัง

ให้ได้ว่า คนฟังพร้อมที่จะรับเนื้อขนาดไหน เพราะถ้าใส่แต่เนื้ออย่าง

เดียวบาทีก็จะทำให้เบื่อ ซึ่งทำให้บางครั้งเราก็ต้องแทรกอะไรเข้าไปบ้าง

เพื่อให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ

o   การเขียน
บทความ => เวลาจะเขียนอะไรเราต้องมีเป้าหมายก่อน ต้องรู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไร รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร และมีประเด็นที่จะเขียน และเมื่อมีเป้าหมายแล้วก็ต้องมาดูกันว่าสิ่งที่เราเขียนเราต้องการให้คนอ่านได้อะไรจากมัน ซึ่งการรู้กลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้เราเขียนงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
o   การอ่าน
ตั้งคำถามก่อนอ่าน (ต้องรู้ว่าบทนี้เขาต้องการจะบอกอะไรเรา) หา key word ให้เจอ อ่านแล้วจะต้องคิดตาม ตั้งคำถามตาม ไม่ใช่อ่านไปเรื่อยๆแล้วก็จำ เวลาผ่านไปก็ลืม (ไม่มีใครจำสิ่งที่ตัวเองอ่านได้หมดหรอก) แต่ถ้าเราจับประเด็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้ หรือบทความนี้ต้องการจะบอกอะไรกับเรา ก็จะช่วยให้เราอ่านหนังสือได้ง่ายยิ่งขึ้น  
ซึ่งวิธีการนี้เรายังสามารถนำไปใช้ได้กับการอ่านหนังสือสอบได้อีกด้วย
(ที่จริงใช้ได้กับการอ่านทุกประเภทตั้งแต่หนังสืออ่านเล่น ไปจนถึงหนังสือพิมพ์)



              เราจะเห็นได้ว่า การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ทุก

อย่างมันสอดคล้องกันหมด เช่น

ถ้าเรามีทักษะการอ่านที่ดี ทักษะการเขียนของเราก็จะดีขึ้นตามไปเพราะ
เราได้อ่านงานหลายๆรูปแบบ

ถ้าเราฟังแล้วจับใจความได้ดีก็จะส่งผลให้การพูดของเราดีด้วย เพราะพูด

แล้วมีประเด็นผู้ฟังๆแล้วเข้าใจ


v เรียนศิลปะกับคุณครู
ความพยายามเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานศิลปะ เพราะกว่าจะได้งานออกมาหนึ่งชิ้นนี่เหนื่อยมากพอสมควร กว่าจะเก่งได้ต้องเริ่มจากของง่ายๆ ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด แต่ต้องอาศัยการฝึกฝน และใจรักในการทำจริงๆถึงจะประสบความสำเร็จได้

v สังคม (อาเซียน)
รู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยหลังจากที่ไทยเข้า อาเซียน แล้ว
ข้อดี
-          เศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้น
-          ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
-          มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่หลากหลาย
-          มีกฎระเบียบที่เป็นสากลมากขึ้น
      ข้อเสีย
-          เศรษฐกิจเติมโตดีแต่ไม่มีคุณภาพ
-          ประเทศอื่นอาจพัฒนาได้มากกว่าประเทศไทย
-          ประเทศเป็นหนี้
-          ระบบการศึกษาคุณภาพต่ำ
-          เป็นแค่ผู้บริโภค  ไม่ใช่ผู้ผลิต
-          วัฒนธรรมเดิมอาจถูกแทนที่ด้วยวัฒนธรรมจากประเทศอื่นๆ
            ที่สำคัญของสังคมคือ  เราเชื่อมโยงได้ว่าปัจจัยอะไรเกี่ยวพันกับอะไร  แล้วจะช่วยให้เราคาดการณ์ได้ เราเรียนเรื่องนี้เพื่อฝึกการคาดการณ์และการเชื่อมโยง เพราะสังคมเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเรา


การได้ออกไปเจอโลกข้างนอก หาประสบการณ์ และแรงบันดาลใจ (ท่องเที่ยว~~)
v เราได้ออกไปพบผู้คน เจออะไรใหม่ๆ (ผู้คนมีหลายหลายประเภท นิสัยต่างกัน แล้วจะรับมือและปฎิบัติกับเขาอย่างไร)
    =ที่โรงเรียนใหม่ =  
ได้เห็นครูที่เป็นครูจริงๆ ได้เห็นเพื่อนๆพี่ๆน้องๆในลักษณะนิสัยที่ต่างออกไป ทุกคนล้วนมีความแตกต่างแต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้

     = เกาะยาว =
บางทีเราอาจจะคิดตัดสินอะไรไปเองเลยทำให้เรากลัว และพลาดโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น ผู้คน ธรรมชาติ วิถีชีวิต อาหาร(?) อาชีพ ซึ่งแตกต่างออกไปจากคนกรุงเทพ บางอย่างก็เป็นสิ่งที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยพบ การไปครั้งนี้สอนให้รู้ว่า อย่าตัดสินอะไรไปเอง ทั้งๆที่ยังไม่เคยลอง บางทีมันอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้
= ระยอง =
ไปทริปคราวนี้ได้รับโจทย์มาจากครูว่าให้จัดทัวร์ขึ้นมาคนละหนึ่งทัวร์
(สมมุติตัวเองว่าเป็นหัวหน้าทัวร์ )

การจัดทัวร์ไม่ใช่เรื่องง่าย จะจัดทัวร์ได้ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน (ยิ่งเป้าหมายชัดยิ่งจัดทัวร์ได้ง่าย) ต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนไป ต้องไตร่ตรองให้ดี
เช่น สถานที่ เวลา กิจกรรม อาหารการกิน เส้นทาง ค่าใช้จ่าย และสุดท้ายครูก็ให้นำของทุกคนมารวมกัน โดยนำจุดเด่นของแต่ละทัวร์มารวมกัน โดยที่อย่าลืมเป้าหมาย
ซึ่งนี่ก็ทำให้เห็นว่าบางทีการทำงานด้วยกันมันทำให้เรามีความรอบคอบมากขึ้น เพราะมีคนช่วยคิดหลายคน และต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง และเมื่อถึงวันที่ไปเที่ยวกันจริงๆ ก็รู้ว่า ข้อมูลเป็นสิ่งที่ไกด์ทกคนต้องมี เพราะถ้าข้อมูลไม่แน่น เราก็จะบอกกับลูกทัวร์ไม่ได้ว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วมาทำไม อะไรเป็นจุดเด่น ที่สำคัญคือเราไม่รู้ว่าร่างกายใครจะไม่ไหวก่อนเพราะฉะนั้นไกด์ควรมีข้อมูลทุกคน  การตัดสินใจที่จะทำอะไร หรือจะไปไหนถือว่ามีความสำคัญมากเพราะการตัดสินใจของเราคือความเป็นความตายของลูกทัวร์ (ฮา)
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นสิ่งที่ฝึกได้เยอะเลยทีเดียวในทริปนี้  ได้ประสบการณ์ใหม่ (รู้ถึงอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นได้ อย่าเชื่อคนง่าย ปฏิเสธคนให้เป็น)

ความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง สิ่งที่ค้นพบ
-          ตัวเองคิดเป็นมากขึ้น เริ่มรู้จักการตั้งคำถาม การสังเกต
-          มีความรับผิดชอบมากขึ้น
-          ไม่เบี่ยงประเด็น(เปลี่ยนเรื่อง)ถ้าตอบไม่ได้
v ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ
เราต้องมีความมั่นใจในตัวเองให้มากขึ้น เพราะถ้าตัวเองยังไม่เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะมั่นในความเก่ง ความสามารถของเรา ถ้าเราอยากจะให้ใครเชื่อมั่นในความสามารถของเรา เราก็ต้องมั่นใจในตัวเองก่อน
v เรียนรู้จากความบางที่สิ่งที่เราทำอาจจะไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่เราคาดหวังเอาไว้ ก็ไม่เป็นไร แต่ขอแค่ให้ทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นเราก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิด แล้วกลับมาย้อนดูว่าสิ่งที่เราทำมีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดซึ่งเราจะได้เรียนรู้จากมันและนำกลับมาแก้ไข และเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม



การศึกษาไทยกับ AEC


กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ
ยังจำกันได้รึเปล่า ช่วงนี้จขบ.จะทำการอัพบล็อกบ่อยขึ้น เวลามีเรื่องราวดีๆจะได้เอามาแบ่งปันกันนะคะ

การศึกษาไทยติดอันดับ 8 ของอาเซียน น้อยกว่าทั้งเวียดนาม กัมพูชา ลาว และ พม่าเชื่อว่าคนไทยหลายคนคงตกใจกับข่าวนี้ไม่น้อย มีคำถามหนึ่งที่จขบ.เชื่อเลยว่าหลายๆคนอยากรู้

“อะไรทำให้อีก 7 ประเทศถึงมีการศึกษาดีกว่ากว่าเรา”
 “ทำไม ประเทศไทยถึงหล่นลงมาอยู่อันดับแปด ทั้งๆที่เด็กเรียนหนักกันจนสมองบวม”

ถ้าจะบอกว่าเด็กไทยไม่อ่านหนังสือก็คงมีเด็กไทยหลายคนเถียงแบบสุดๆ
“หนู/ผม อ่านหนังสือเยอะนะ ที่บ้านมีหนังสือเต็มบ้านเลยจะหาว่าไม่อ่านได้ยังไง”
คำถามของจขบ.คือ “คุณอ่านอะไรบ้างละ”
หนังสือนิยายรักหวานแหวว ทั้งแฟนตาซี ผจญภัย ละครหลังข่าว การ์ตูน นิตยสารบันเทิง ฯลฯ
มีใครอ่านหนังสือพิมพ์บ้างไหม?
หนังสือภาษาอังกฤษละ
หนังสือเรียนเอากลับมาอ่านทบทวนรึเปล่า
ไม่ได้ว่าว่าอ่านหนังสือพวกนั้นไม่ดี มันอ่านได้ แต่อ่านทำไม คุณอ่านนิยายรักหวานแหวว ก็จริง คุณเคยคิดจะเขียนมันรึเปล่า หรือแค่อ่านเพราะฉันสนุกกับมัน

จขบ.คิดว่า
วิธีการเรียนมันไม่เหมือนกัน
เด็กไทยถูกครูกรอกหูมาทุกว่า ว่าให้จำๆๆ ไอ้สิ่งที่เรียนมันเข้าไป จำได้แต่เข้าใจมันจริงรึเปล่า
ครูให้การบ้านมาเยอะจนจะทับเด็กตาย แต่มีกี่คนที่ทำส่งอย่างเต็มที่ ไม่ได้สักแค่ทำให้เสร็จ
การศึกษาของเด็กไทยในปัจจุบัน
แต่ในทางกลับกันเด็กต่างประเทศถูกสอนมาให้เรียนด้วยความเข้าใจ เรียนด้วยการตั้งคำถาม เรียนรู้จากความผิดพลาด และครูที่ดูแลเอาใจใส่เด็ก ครูที่เป็นครูจริงๆ  การบ้านเขาก็เยอะเหมือนกัน แต่สังเกตอะไรไหม เด็ดเขาจัดการตัวเองได้ เขาทำงานกันแบบเต็มที่ เขาบริหารเวลากันเป็น
เด็กนักเรียนประเทศสิงคโปร์
ถ้าเปิด AEC ขึ้นมา ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่จะลำบาก เพราะไม่ได้แข่งแค่ประเทศตัวเอง แต่ต้องแข่งกับประเทศอีกหลายประเทศ ศักยภาพมันต่างกัน คนไทยเลือกงาน กลัวลำบาก งานนี้ได้เงินน้อยไป แต่ประเทศอื่นไม่ เขาไม่เลือกงานเขาทำทุกอย่างที่เขาทำได้ เห็นความแตกต่างไหม
ความขยัน
ความพยายาม
ความอดทน ความอึด
ของคนไทยอยู่ไหน?
มีเด็กหลายคนที่จมอยู่ในความคิดที่ว่า โลกนี้สวยงาม ทุกคนรักฉัน ทุกคนแคร์ฉัน ไม่เคยเผชิญกับปัญหา (เพราะพ่อแม่แก้ให้ตลอด จนสุดท้ายก็กลายเป็นพ่อแม่รังแกฉัน) และกว่าจะรู้ว่าโลกในความจริงมันโหดร้ายแค่ไหน ก็คงจะตอนเป็นผู้ใหญ่โลกของคนทำงานมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่ตอนเด็กๆเราเคยคิดไว้ ทั้งการแข่งขัน การบีบบังคับ ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นโดยไม่สนใจคนรอบข้างว่าจะเป็นยังไง ถ้าเขาหาจุดอ่อนเราเจอ เขาจะซัดเราทันที บุกไปเรื่อยๆจนเราจนมุม แล้วสุดท้ายเราก็ แพ้... เพราะเหตุนี้จขบ.ได้เห็นถึงความสำคัญของการซ่อนจุดอ่อนของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ในที่ประชุมหรือสถานการณ์อะไรก็แล้วแต่ อย่าให้อีกฝ่ายรู้ ว่าเรากำลัง กลัว  เพราะถ้าเขาจับผิดเราได้มันเหมือนพลังของเราหายไปกว่าครึ่ง


นี่คือตัวอย่างอาการของคนที่กำลังเสียความมั่นใจ
-พูดเสียงเบา
-พูดเสียงดัง โวยวาย
- ไม่สบตา
- เปลี่ยนเรื่อง (ให้เราลืมเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ หลายคนอาจใช้ได้ผล แต่สำหรับคนที่อ่านคนออกแน่นอน มันไม่ได้ผล)
-อยู่นิ่งไม่ได้
- พยายามปลีกตัวเองให้ออกมาจากสถานการณ์นั้นให้เร็วที่สุดเช่น ขอไปเข้าห้องน้ำ ฯลฯ
ถ้าเรารู้ว่าอาการของตัวเองตอนนี้เป็นข้อไหนควรที่จะแก้ จากเดิมที่เคยเสียเปรียบ ถ้าแก้ตรงนี้ได้อาจจะพลิกเกมกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ได้ ซึ่ง ณ จุดนี้ จขบ.ก็กำลังฝึกตรงนี้อยู่
ขอให้ทุกพยายามเข้าไว้ ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ต้องเริ่มจากเรื่องเล็กๆน้อยๆ


สังเกต ละเอียด แล้ววิเคราะห์จะทำให้เราอ่านคนออก...ซึ่งนี่ก็จะเป็นผลดีกับตัวเราเอง