วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

การศึกษาไทยกับ AEC


กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ
ยังจำกันได้รึเปล่า ช่วงนี้จขบ.จะทำการอัพบล็อกบ่อยขึ้น เวลามีเรื่องราวดีๆจะได้เอามาแบ่งปันกันนะคะ

การศึกษาไทยติดอันดับ 8 ของอาเซียน น้อยกว่าทั้งเวียดนาม กัมพูชา ลาว และ พม่าเชื่อว่าคนไทยหลายคนคงตกใจกับข่าวนี้ไม่น้อย มีคำถามหนึ่งที่จขบ.เชื่อเลยว่าหลายๆคนอยากรู้

“อะไรทำให้อีก 7 ประเทศถึงมีการศึกษาดีกว่ากว่าเรา”
 “ทำไม ประเทศไทยถึงหล่นลงมาอยู่อันดับแปด ทั้งๆที่เด็กเรียนหนักกันจนสมองบวม”

ถ้าจะบอกว่าเด็กไทยไม่อ่านหนังสือก็คงมีเด็กไทยหลายคนเถียงแบบสุดๆ
“หนู/ผม อ่านหนังสือเยอะนะ ที่บ้านมีหนังสือเต็มบ้านเลยจะหาว่าไม่อ่านได้ยังไง”
คำถามของจขบ.คือ “คุณอ่านอะไรบ้างละ”
หนังสือนิยายรักหวานแหวว ทั้งแฟนตาซี ผจญภัย ละครหลังข่าว การ์ตูน นิตยสารบันเทิง ฯลฯ
มีใครอ่านหนังสือพิมพ์บ้างไหม?
หนังสือภาษาอังกฤษละ
หนังสือเรียนเอากลับมาอ่านทบทวนรึเปล่า
ไม่ได้ว่าว่าอ่านหนังสือพวกนั้นไม่ดี มันอ่านได้ แต่อ่านทำไม คุณอ่านนิยายรักหวานแหวว ก็จริง คุณเคยคิดจะเขียนมันรึเปล่า หรือแค่อ่านเพราะฉันสนุกกับมัน

จขบ.คิดว่า
วิธีการเรียนมันไม่เหมือนกัน
เด็กไทยถูกครูกรอกหูมาทุกว่า ว่าให้จำๆๆ ไอ้สิ่งที่เรียนมันเข้าไป จำได้แต่เข้าใจมันจริงรึเปล่า
ครูให้การบ้านมาเยอะจนจะทับเด็กตาย แต่มีกี่คนที่ทำส่งอย่างเต็มที่ ไม่ได้สักแค่ทำให้เสร็จ
การศึกษาของเด็กไทยในปัจจุบัน
แต่ในทางกลับกันเด็กต่างประเทศถูกสอนมาให้เรียนด้วยความเข้าใจ เรียนด้วยการตั้งคำถาม เรียนรู้จากความผิดพลาด และครูที่ดูแลเอาใจใส่เด็ก ครูที่เป็นครูจริงๆ  การบ้านเขาก็เยอะเหมือนกัน แต่สังเกตอะไรไหม เด็ดเขาจัดการตัวเองได้ เขาทำงานกันแบบเต็มที่ เขาบริหารเวลากันเป็น
เด็กนักเรียนประเทศสิงคโปร์
ถ้าเปิด AEC ขึ้นมา ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่จะลำบาก เพราะไม่ได้แข่งแค่ประเทศตัวเอง แต่ต้องแข่งกับประเทศอีกหลายประเทศ ศักยภาพมันต่างกัน คนไทยเลือกงาน กลัวลำบาก งานนี้ได้เงินน้อยไป แต่ประเทศอื่นไม่ เขาไม่เลือกงานเขาทำทุกอย่างที่เขาทำได้ เห็นความแตกต่างไหม
ความขยัน
ความพยายาม
ความอดทน ความอึด
ของคนไทยอยู่ไหน?
มีเด็กหลายคนที่จมอยู่ในความคิดที่ว่า โลกนี้สวยงาม ทุกคนรักฉัน ทุกคนแคร์ฉัน ไม่เคยเผชิญกับปัญหา (เพราะพ่อแม่แก้ให้ตลอด จนสุดท้ายก็กลายเป็นพ่อแม่รังแกฉัน) และกว่าจะรู้ว่าโลกในความจริงมันโหดร้ายแค่ไหน ก็คงจะตอนเป็นผู้ใหญ่โลกของคนทำงานมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่ตอนเด็กๆเราเคยคิดไว้ ทั้งการแข่งขัน การบีบบังคับ ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นโดยไม่สนใจคนรอบข้างว่าจะเป็นยังไง ถ้าเขาหาจุดอ่อนเราเจอ เขาจะซัดเราทันที บุกไปเรื่อยๆจนเราจนมุม แล้วสุดท้ายเราก็ แพ้... เพราะเหตุนี้จขบ.ได้เห็นถึงความสำคัญของการซ่อนจุดอ่อนของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ในที่ประชุมหรือสถานการณ์อะไรก็แล้วแต่ อย่าให้อีกฝ่ายรู้ ว่าเรากำลัง กลัว  เพราะถ้าเขาจับผิดเราได้มันเหมือนพลังของเราหายไปกว่าครึ่ง


นี่คือตัวอย่างอาการของคนที่กำลังเสียความมั่นใจ
-พูดเสียงเบา
-พูดเสียงดัง โวยวาย
- ไม่สบตา
- เปลี่ยนเรื่อง (ให้เราลืมเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ หลายคนอาจใช้ได้ผล แต่สำหรับคนที่อ่านคนออกแน่นอน มันไม่ได้ผล)
-อยู่นิ่งไม่ได้
- พยายามปลีกตัวเองให้ออกมาจากสถานการณ์นั้นให้เร็วที่สุดเช่น ขอไปเข้าห้องน้ำ ฯลฯ
ถ้าเรารู้ว่าอาการของตัวเองตอนนี้เป็นข้อไหนควรที่จะแก้ จากเดิมที่เคยเสียเปรียบ ถ้าแก้ตรงนี้ได้อาจจะพลิกเกมกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ได้ ซึ่ง ณ จุดนี้ จขบ.ก็กำลังฝึกตรงนี้อยู่
ขอให้ทุกพยายามเข้าไว้ ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ต้องเริ่มจากเรื่องเล็กๆน้อยๆ


สังเกต ละเอียด แล้ววิเคราะห์จะทำให้เราอ่านคนออก...ซึ่งนี่ก็จะเป็นผลดีกับตัวเราเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น