วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558

คุณค่าทางด้านเนื้อหาและวรรณศิลป์ของลิลิตตะเลงพ่าย




คุณค่าทางด้านเนื้อหาและวรรณศิลป์ของลิลิตตะเลงพ่าย



                สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงนิพนธ์เรื่องลิลิตตะเลงพ่ายตามที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯให้นิพนธ์ขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ได้ทรงกู้อิสรภาพของไทยกลับคืนหลังจากเสียกรุงครั้งแรก โดยการทำยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราช ลิลิตตะเลงพ่ายแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทลิลิตสุภาพ เป็นการแต่งร่ายสุภาพกับโคลงสุภาพสลับกันไป ประเภทของโคลงที่ใช้มีตั้งแต่โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลงสี่สุภาพ ลิลิตตะเลงพ่ายจึงเป็นวรรณคดีเฉลิมพระเกียรติและวรรณคดีประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่ามากทั้งในด้านเนื้อหา และในด้านวรรณศิลป์


                คุณค่าทางด้านเนื้อหาของลิลิตตะเลงพ่ายจะมีตั้งแต่คุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์ ด้านสังคม คุณธรรมข้อคิด ตลอดจนวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน ในด้านประวัติศาสตร์ลิลิตตะเลงพ่ายได้บอกเล่าเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่มีบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับจันทนุมาศ (เจิม) ผู้เขียนพยายามรักษาข้อเท็จจริงไว้ไม่ให้คลาดเคลื่อนจากเนื้อหาภายในพงศาวดาร เช่น เส้นทางการเดินทัพ ชื่อแม่ทัพหรือชื่อนายกอง เป็นต้นเนื้อหาภายในพระราชพงศาวดารเล่าถึง การกระทำของพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงที่มีคำสั่งให้พระมหาอุปราชายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาหลังจากที่ทรงทราบข่าวการสวรรคตของพระมหาธรรมราชา แต่ในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระนเรศวรได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองแล้วจึงได้จัดทัพเตรียมรับศึกนอกพระนคร พระนเรศวรมหาราชทรงใช้สติปัญญาและไหวพริบของตนเองจนสามารถเอาชนะพระมหาอุปราชได้


                คุณค่าทางด้านสังคม ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นสรรณคดีที่ปลุกกระแสรักชาติให้กับคนในสังคมไทย เมื่ออ่านแล้วจึงเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในชาติ และซาบซึ้งถึงการเสียสละของบรรพบุรุษไทยที่เสียเลือดเนื้อเพื่อปกป้องชาติ วรรณคดีเรื่องนี้จึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนในปัจจุบันให้เกิดความหวงแหนในแผ่นดิน และภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ลิลิตตะเลงพ่ายแสดงให้เห็นถึงความเชื่อของคนไทยในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโหราศาสตร์ หรือลางบอกเหตุต่างๆ เช่น ตอนที่พระนเรศวรทรงพระสุบินว่า ทรงลุยน้ำไปพบจระเข้ตัวใหญ่ที่หมายจะเข้ามาทำร้ายพระองค์ และพระองค์ได้ประหารจระเข้ตัวนั้นตาย จึงนำความฝันนี้ไปให้โหรทำนาย โหรทำนายว่าจะพระนเรศวรจะชนะศึกหงสาวดี

ทันใดดิลกเจ้า        จอมถวัลย์
สร่างผทมถวิลฝัน  ห่อนรู่
พระหาพระโหรพลัน              พลางบอก ฝันนา
เร็วเร่งทายโดยกระทู้             ที่ถ้อยตูแถลง


และอีกตอนที่เห็นได้ชัดคือตอนที่ลมเวรัมภาพัดฉัตรของพระมหาอุปราชาหักลงขณะเดินทัพ
พระพลันเห็นเหตุไซร้             เสียวดวง แดเอย
ถนัดดั่งภูผาหลวง  ตกต้อง
กระหม่ากระเหม่นทรวง        สั่นซีดพักตร์นา
หนักหฤทัยท่านร้อง                               เรียกให้โหรทาย


                วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ก็มีบรรยายไว้ในลิลิตตะเลงพ่าย เช่น ก่อนออกรบก็ต้องมีการปลุกขวัญกำลังใจทหาร กษัตริย์ต้องสรงน้ำ แต่งเครื่องต้นสวยงามก่อนออกสู่สนามรบ ผู้คนมีความศรัทธาอย่างเข้มแข็งในพระพุทธศาสนา เห็นได้จากการนำพระพุทธรูปออกไปในการสู้รบด้วย


                คุณธรรมข้อคิดก็เป็นหนึ่งในหัวข้อของคุณค่าทางด้านเนื้อหา ลิลิตตะเลงพ่ายได้สอนคุณธรรมที่ควรปฏิบัติให้กับผู้อ่านได้หลายอย่าง เช่น การเป็นคนกตัญญูต่อบุคคลใกล้ชิดและต่อประเทศชาติ เห็นได้จากบทรำพึงของพระมหาอุปราชถึงพระราชบิดา แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยของลูกที่มีต่อพ่อระหว่างที่ตนเองออกไปรบ พระมหาอุปราชทรงห่วงว่า ถ้าหากตัวเองตายเพราะศึกครั้งนี้ ใครจะออกไปรบแทนพ่อเมื่อมีศึกมาประชิดเมือง แล้วถ้าไม่มีใครประเทศพม่าจะอยู่ได้อย่างไร


ณรงค์นเรศวร์ด้าว ดัสกร
ใครจักอาจออกรอน              รบสู้
เสียดายแผ่นดินมอญ           พลันมอด ม้วยแฮ
เหตุ บ่ มีมือผู้          อื่นต้านทานเข็ญ


                การเป็นคนช่างสังเกต มีไหวพริบ จะทำให้ตัวเองพ้นจากอันตรายได้อย่างเช่นพระนเรศวรที่ต้องตกอยู่ท่ามกลางกองทัพพม่าเพราะช้างเกิดตกมัน พระนเรศวรทรงใช้สติปัญญาและปฏิภาณไหวพริบของตัวเองมาใช้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการพูดจาโน้มน้าวและทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระมหาอุปราชเพื่อให้พระมหาอุปราชออกมาทำยุทธหัตถีเพราะเล็งเห็นว่านี่เป็นหนทางที่เสี่ยงน้อยที่สุดและมีโอกาสได้ชัยชนะมากที่สุด


                ตอนที่พระวันรัตนกราบทูลขอพระนเรศวรให้พระราชทานอภัยโทษแก่บรรดาแม่ทัพ นายกอง และทหารทั้งหลายที่ตามเสด็จไม่ทัน จึงเป็นเหตุทำให้พระองค์ต้องไปตกอยู่ในวงล้อมพม่า ก็เป็นอีกตัวอย่างของการใช้ไหวพริบและการพูดจาโน้มน้าวใจคน พระวันรัตสามารถโน้มน้าวใจพระนเรศวรได้โดยบอกว่า การที่ทหารเสด็จตามพระองค์ไม่ทันเป็นการแสดงถึงความเก่งกาจของพระองค์ที่สามารถเอาชนะกองทัพพม่าได้ด้วยตัวพระองค์เอง  พระนเรศวรเมื่อฟังแล้วก็เกิดความภูมิใจในชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ได้มาด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์เอง ทำให้บรรดาแม่ทัพนายกองรอดพ้นจากการโดนประหารตามที่มีบัญญัติไว้ในกฎอัยการศึก


                ด้านวรรณศิลป์ลิลิตตะเลงพ่ายถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีในการแต่ง เพราะมีสำนวนโวหารที่ไพเราะควบคู่ไปกับการเลือกสรรถ้อยคำอย่างประณีตทำให้สื่อความได้ชัดเจนและไพเราะ ไม่ว่าจะเป็นตอนทำศึกสงคราม หรือตอนที่เศร้าโศกผู้แต่งก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยม สื่อออกมาผ่าน การเล่นเสียง การซ้ำคำ การเล่นคำพ้อง การสร้างจินตภาพ และการใช้ภาพพจน์ต่างๆ เช่น อุปมา อุปลักษณ์ สัทพจน์ หรืออติพจน์ เหล่านี้ล้วนมีอยู่ในวรรณคดีเรื่องนี้ 


ในลิลิตตะเลงพ่ายมีการเล่นเสียงอยู่ในแทบทุกบท รูปแบบของการเล่นเสียงที่นำมาใช้มากที่สุดคือการเล่นเสียงพยัญชนะ รองลงมาคือสระ และวรรณยุกต์ แสดงถึงความเก่งกาจของผู้เขียนที่สามารถเลือกใช้คำที่มีเสียงพยัญชนะ สระ หรือวรรณยุกต์ที่เหมือนกันมาเรียงต่อกันโดยที่มีความหมายชัดเจน เสียงที่เหมือนกันทำให้เกิดความไพเราะเมื่ออ่านออกเสียงเป็นทำนองเสนาะ



ตัวอย่างการเล่นเสียงพยัญชนะ

v ดำเนินพจนพากย์พร้อง        พรรณนา
องค์อัครอุปราชา                   ท่านแจ้ง
กอบเกิดขัตติยมา                  นะนึก หาญเฮย
ขับคชเข้ายุทธ์แย้ง                 ด่วนด้วย โดยถวิล

ในบทนี้มีการเล่นเสียงพยัญชนะ พ, อ และ ด



v  งามสองสุริยราชล้ำ               เลอพิศ นาพ่อ
พ่างพัชรินทรไพจิตร              ศึกสร้าง
ฤารามเริ่มรณฤทธิ์                                รบราพณ์แลฤา
ทุกทิศทุกเทศอ้าง                  อื่นไท้ ไป่เทียบ

ในบทนี้มีการเล่นเสียงพยัญชนะ ส, พ, ร และ ท



v  สมเด็จอนุชน้องแก้ว              ทรงสุภาแพร้ว        เพริศพร้อมเพราตา

ในบทนี้มีการเล่นเสียง พ


ตัวอย่างการเล่นเสียงสระ
v  บัดมงคลพ่าห์ไท้    ทวารัติ
แว้งเหวี่ยงเบี่ยงเศียรสะบัด  ตกใต้
อุกคลุกพลุกเงยงัด                                คอคชเศิกแฮ

ในบทนี้มีการเล่นสระ เอีย และ สระ อุ



v  พระพลันทรงเครื่องต้น          งามประเสริฐเลิศล้น (เล่นเสียงสระ เออ)



                การซ้ำคำ เป็นการซ้ำเพื่อเน้นย้ำความหมายของคำๆนั้น หรือเป็นการเน้นย้ำให้ทำ ปรากฏอยู่ในลิลิตตะเลงพ่ายตอนที่พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง(พ่อของพระมหาอุปราช)อวยพรและสั่งสอนพระมหาอุปราชก่อนออกไปทำศึกสงครามดังต่อไปนี้


v  จงจำคำพ่อไซร้      สั่งสอน
จงประสิทธิ์สมพร  พ่อให้
จงเรืองพระฤทธิ์รอน อริราช
จงพ่อลุลาศได้       เผด็จด้าว แดนสยาม
(มีการซ้ำคำว่า จง )


การเล่นคำพ้อง ในลิลิตตะเลงพ่ายมีเล่นทั้งคำพ้องรูปและคำพ้องเสียง

v  สลัดไดใดสลัดน้อง              แหนงนอน ไพรฤา
เพราะเพื่อมาราญรอน         เศิกไสร้
สละสละสมร         เสมอชื่อ ไม้นา
นึกระกำนามไม้     แม่นแม้น ทรวงเรียม
มีการเล่นคำพ้องเสียงคือคำว่า (สลัด)ได กับ ใด ส่วนคำพ้องรูปคือคำว่า สลัด กับ สละ
นอกจากจะมีคำพ้องเสียงแล้วยังมีการเล่นพยัญชนะ พ,ส และ   เข้ามาเสริมอีกด้วย


v  สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้ง           ยามสาย
สายบ่หยุดเสน่ห์หาย            ห่างเศร้า
กี่คืนกี่วันวาย       วางเทวษ ราแม่
ถวิลทุกขวบค่ำเช้า                หยุดได้ฉันใด


ในบทนี้มีการเล่นคำพ้องรูปคือคำว่า สาย และมีการเล่นเสียงพยัญชนะ และแสดงให้เห็นถึงจินตภาพทางการได้กลิ่น ส่วนจินตภาพทางด้านการมองเห็นมีอยู่ในฉากต่อสู้ต่างๆ แต่ในที่นี้จะยกตัวอย่างตอนที่ลม เวรัมภา พัดฉัตรของพระมหาอุปราชหัก เมื่ออ่านแล้วสามารถจินตนาการได้ถึงความแรงของลมที่มีกำลังแรงมากจนสามารถพัดฉัตรให้หักลงมาได้


v  เกิดเป็นหมอกมืดห้อง           เวหา หนเฮย
ลมชื่อเวรัมภา        พัดคลุ้ม
หวนหอบหักฉัตรตรา            คชขาด ลงแฮ
แลธุลีกลัดกลุ้ม      เกลื่อนเพี้ยงจักรผัน


                การใช้ภาพพจน์ในลิลิตตะเลงพ่าย มีการใช้ภาพพจน์แบบอุปมาหรือก็คือการเปรียบเหมือน อุปลักษณ์การเปรียบเป็น สัทพจน์การเลียนเสียงธรรมชาติ และสุดท้าย อติพจน์คือการกล่าวเกินจริง ต่อไปนี้คือตัวอย่างของภาพพจน์ที่อยู่ในลิลิตตะเลงพ่าย ดังนี้

ตัวอย่างการใช้อุปมา มีคำเชื่อมคือ ดั่ง,ดุจ,เปรียบ,ปูน,ราว,กล และ เพี้ยง


v  พระพลันเห็นเหตุไซร้             เสียวดวง แดเอย  
ถนัดดั่งภูผาหลวง                  ตกต้อง



v  อ้าจอมพระจักรพรรดิผู้         เพ็ญยศ
แม้นพระเสียเอารส                               แก่เสี้ยน
จักเจ็บพระอุระระทด            ทุกข์ใหญ่ หลวงนา
ถนัดดั่งพาหาเหี้ยน                               หั่นกลิ้งไกลองค์


ทั้งสองบทข้างต้นนี้เป็นลักษณะภาพพจน์แบบอุปมา เพราะมีคำเชื่อมคือ ดั่ง



ตัวอย่างการใช้อุปลักษณ์ มีคำเชื่อมคือ เป็น หรือ คือ

v  นุสนธิ์ซึ่งน่านน้ำ     นองพนาสณฑ์เอย
หนปัจฉิมทิศา        ท่วมไซร้
คือทัพอริรา-          มัญหมู่นี้นา
สมดั่งลักษณ์ฝันไท้                                ธเนศนั้นอย่าแหง

โคลงข้างต้นนี้เป็นลักษณะการใช้ภาพพจน์แบบอุปลักษณ์ โดยมี คือ เป็นคำเชื่อม โดยเปรียบน่านน้ำ เป็น กองทัพพม่า


v  บุรีรัตนหงสา          ธ ก็บัญชาพิภาษ   ด้วยมวลมาตยากร
ว่านครรามินทร์   ผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเปลี่ยนราช            เยียววิวาทชิงฉัตร

เปรียบนครรามินทร์ (ราม+อินทร์) เมืองของพระรามในที่นี้หมายถึงกรุงศรีอยุธยา
เปรียบเทียบฉัตร เป็นตัวแทน เป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ ชิงฉัตร จึงมีความหมายว่าชิงราชบัลลังก์)


ตัวอย่างการใช้ สัทพจน์

v  เร่งคำรนเรียกมัน   ชันหูชูหางแล่น       แปร้นแปร๋แลคะไขว่
ใช้คำว่าแปร้นแปร๋แทนเสียงของช้าง


ตัวอย่างการใช้อติพจน์ การกล่าวอะไรเกินจริง
ขอยกตัวอย่างบทรำพึงของพระมหาอุปราชต่อพระราชบิดา (นันทบุเรง) ว่าด้วยการเทียบพระคุณของบิดาว่ามีมากกว่าแผ่นดิน ยิ่งใหญ่กว่าสวรรค์ชั้นฟ้า หรือ บาดาล

v  พระคุณตวงเพียบพื้น           ภูวดล
เต็มตรลอดแหล่งบน             บ่อนใต้
พระเกิดพระก่อชนม์              ชุมชีพ มานา
เกรง บ่ ทันลูกได้    กลับเต้าตอบสนอง



                ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีชั้นสูงและมีคุณค่ามากดังที่กล่าวไปข้างต้น จึงทำให้วรรณคดีเรื่องนี้เป็นที่นิยมอ่านของคนไทยกันมาจนถึงปัจจุบัน ผู้อ่านจะได้ซาบซึ้งในความไพเราะด้านวรรณศิลป์แล้วยังได้รับความรู้ทางสังคม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมต่างๆของคนไทยในสมัยก่อน ควรค่าแก่การศึกษาอย่างยิ่ง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น